เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o ธ.ค. ๒๕๕o

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาไปรู้เรื่องวินัยมากไง รู้เรื่องธรรมเรื่องวินัยมากเกินไปก็เลยกลายเป็นว่ากฎหมายต้องเป็นอย่างนั้น ธรรมวินัยเป็นสมมุตินะ เพราะก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบัญญัติธรรมวินัยนี่ ยังไม่มีธรรมวินัยพระอรหันต์เยอะแยะเลย พอบัญญัติขึ้นมาแล้วมีกฎหมาย ยิ่งกฎหมายมากขึ้นเท่าไรพระอรหันต์ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ ไปติดกันที่เปลือกหมดไง ไอ้นี่ที่ว่าสิ่งใดมีความจำเป็น มันเป็นความจำเป็น มันสุดวิสัย แล้วมันเป็นเทคนิคด้วย มันเป็นเทคนิคที่ครูบาอาจารย์จะดูแลพระของท่าน พระของท่านควรจะทำอย่างไร ควรจะทำอย่างไร

ถ้ามันจะคิดอย่างนั้นเลย มันก็เป็นเรื่องรูปแบบหมดเลย มันก็เรื่องโลกๆ ทั้งนั้นนะ เอาเรื่องโลกขึ้นมาไม่ได้ เรื่องโลกเป็นเรื่องโลก เข้ามา ถ้าเข้ามาอยู่ได้ก็เข้ามาอยู่ได้ ถ้าจะกลับบ้านก็กลับบ้านไป ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วง พระต้องอยู่ได้ พระของเราอยู่ได้ ไม่ใช่พระเด็กทารกจะต้องมาประคบประหงมกันจนทำอะไรก็ไม่ได้ ไอ้นั่นมันพระทารก พระทารกจะมีพระธรรมวินัยขึ้นมาในหัวใจได้อย่างไร ธรรมมันจะเกิดขึ้นมาได้มันต้องมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา

วินัย เห็นไหม วินัยมันแก้ไขได้ มันเปลี่ยนแปลงได้ เราอยู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจไง มันมีความบริสุทธิ์ใจใช่ไหม เขาจะไปเขาจะมาอย่างนั้น อย่างนั้นก็ห้ามกันหมดสิ นี่พระเรา เห็นไหม อ่อนแอกันหมดเลย นี่ตกเย็นขึ้นมาก็ต้มน้ำดื่มไม่ได้ นี่ภิกษุจุดไฟเองเป็นอาบัตินะ ภิกษุจุดไฟเองเป็นอาบัติเพราะอะไร เพราะในพื้นดินนั้นมันมีตัวสัตว์ ถ้าจุดไฟแล้วตัวสัตว์มันจะตาย ภิกษุจุดไฟผิงเองก็ไม่ได้ หน้าหนาวจุดไฟผิงเองเพราะอ่อนแอ แต่ถ้าเขาจุดอยู่แล้วเราผ่านไปเห็นเขามีกองไฟอยู่ เราก็จะไปอังเพื่อความอบอุ่นได้ ไม่ให้อ่อนแอไง

ภิกษุจุดไฟติดไฟได้ในที่เคยจุดไฟแล้ว ในเตาไฟนี่ภิกษุจุดไฟได้ ภิกษุห้ามทำอาหารให้สุกเอง ถ้าสุกเองเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่ภิกษุต้มน้ำได้ เพราะอะไร เพราะเราต้มน้ำ วัตรในโรงไฟมันมีอยู่ วัตรในโรงไฟ เห็นไหม เวลาภิกษุเฒ่า เวลาเราอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ เราต้องต้มน้ำร้อนเพื่อสรงน้ำท่าน ต้องอะไร นี่ภิกษุทำได้ บางอย่างทำได้ ทำได้ บางอย่างทำไม่ได้คือทำไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน บางอย่างทำไม่ได้เป็นเรื่องสุดวิสัยใช่ไหม ถ้าพระไม่มี พระมีองค์เดียว พระมีองค์เดียวถ้าโยมเขามาอยู่ด้วย เราก็ด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อกัน ต่างคนต่างอยู่อย่ามายุ่งต่อกัน ภิกษุลับหูลับตาเป็นอนิยต ๒ ภิกษุคุยกับสีกาโดยลับหูลับตาไง อนิยต ๒ ผู้ที่มีความเชื่อถือได้เป็นผู้จะกล่าวว่าเป็นอาบัติอะไรก็ได้ นี่ผู้ที่เชื่อถือได้นะ ตั้งแต่นางวิสาขา พระโสดาบันขึ้นไป แต่เชื่อถือไม่ได้ ผู้ที่เชื่อถือไม่ได้มันก็มีการสิ่งต่างๆ ไป อันนี้มันเป็นเรื่องวินัย ถ้าเป็นเรื่องวินัย วินัยมันเป็นข้อบังคับ แต่ถ้าเรามันเป็นสิ่งสุดวิสัยใช่ไหม มันเป็นสิ่งสุดวิสัยว่ามันจะเป็นสภาวะแบบนั้น

ในเมื่อถ้าเราห้ามสิ่งนั้นไม่ได้ เพราะอะไร เพราะการอยู่การจากกันไป เรื่องการพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดานะการพลัดพรากนี่ เรามาพบกันนี่เดี๋ยวก็ต่างคนต่างแยกกันไป เรื่องการพบกัน มาเจอกัน แล้วพลัดพรากจากกัน มันเป็นเรื่องปกติเรื่องธรรมดา แล้วนี่ในเมื่อเขาก็อย่างนั้นนะ เราจะไปยับยั้งห้ามว่าห้ามมีการพลัดพราก อยู่ด้วยกันต้องเป็นเพื่อนกัน ต้องเป็นพยานต่อกัน เป็นพยานต่อกันถ้ามันมีมันเป็นไป ถูกต้อง แต่ถ้ามันไม่มี มันไม่มีก็คือมันไม่มี มันจะเป็นอะไรไป มันไม่มีก็คือมันไม่มี นี่มันเรื่องของวัฏฏะ เรื่องของความเป็นไปของโลกนะ เพราะไปยึดกันอย่างนั้นไง

ดูสิ อย่างเช่นภาวนานี่ ภาวนายึดไปหมดเลย ยึดไปหมดเลย โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ พอมีความอยากก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ ไม่มีพระอรหันต์หรอก เกิดมานี่กิเลสทั้งนั้นนะ กิเลสพาเกิดทั้งนั้นนะ แล้วกิเลสพาเกิดขึ้นมานี่ ความอยากมีโดยธรรมชาติทั้งนั้นนะ แล้วก็บอกต้องภาวนาด้วยสะอาดบริสุทธิ์ มันก็เลยทำให้เป็นทัพพีขวางหม้อไง นี่ในหม้อแกงมีทัพพีมา ทัพพีมันไม่รู้รสชาติ ทัพพีมันไม่มีความอยากไง ทัพพีมันไม่มีความอยากหรอก มันอยู่ในหม้อแกงก็ไม่รู้รสแกง มันอยู่ในต้มยำ มันจะอยู่ในข้าว มันไม่รู้รสชาติหรอก เพราะมันเป็นทัพพี

จิตของเรามันรู้รสชาติ พอรู้รสชาติ จิตของเรามันรับรู้สุขหรือทุกข์ แล้วเราก็ไปปฏิเสธต้องให้ไม่มีความอยาก ให้เป็นทัพพีขวางหม้อไปเลย แล้วปฏิบัติก็เอาจิตนี่ไปปฏิบัติ มันเป็นไปได้อย่างไร ก็เปิดกว้าง เพราะเราไปปฏิเสธกันเอง เห็นไหม มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เวลาปฏิบัติปฏิบัติโดยความเป็นไปไม่ได้ เอาความเป็นไปไม่ได้มาอ้าง แล้วก็สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ แต่นี่มันเป็นไปได้ล่ะ เห็นไหม ในเมื่อมันมีความผิดพลาด ทัพพีถ้ามันโดนน้ำกรดกัด โดนอะไรกัด มันก็ผุกร่อน เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน มันก็ผุกร่อนของมันไป

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราปฏิบัติ มันมีรับรู้ มันเป็นไปได้ มันมีความเป็นไปได้ แต่มันเป็นไปได้ มันใช้ไปมันก็สึกกร่อนเป็นธรรมดา จิตก็เหมือนกัน ในเมื่อมันมีความสุขความทุกข์มาเบียดเบียนมัน มันก็ต้องธรรมชาติเป็นธรรมดา นี่ความอยาก อยากดีนะ มันก็ต้องยากไปก่อน คนเรามันมีชีวิตมีจิตใจ มันมีความเป็นไปได้ นี่ครูบาอาจารย์ท่านทรงธรรมทรงวินัยมานี่ ท่านก็ปฏิบัติมาอย่างนี้ ปฏิบัติมาแบบสิ่งที่ว่า นี่โลกเขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะมันมีกิเลสจะปฏิบัติได้อย่างไร

ดอกบัวเกิดจากโคลนตมนะ ดอกบัวเกิดจากโคลนตม นี่โคลนตมคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราไง มันสามารถทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้ มันเพาะชำสิ่งที่เป็นพืชผักธัญญาหารขึ้นมากินได้ นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันเป็นโคลนตมมันมีกิเลสอยู่ เป็นกิเลสในสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ดีคือมันอยากดีทำบุญกุศล บุญและบาป ถ้าคิดไม่ดีอันนั้นมันเป็นตัณหาความทะยานอยาก ถ้าคิดในสิ่งที่ดีมันก็เป็นประโยชน์ขึ้นมา ถ้าคิดไม่ได้นะ ความเป็นไปได้มันเป็นความอยาก เป็นความอยาก ก็อยากจะพ้นกิเลสจะเป็นอะไรไป

อยากจะพ้นกิเลส อยากจะมีความสุขนะ อยากจะมีเงินมีทอง หน้าที่เราก็ทำงานสิ ทำงานขึ้นมาเงินทองมันก็ต้องมาโดยธรรมชาติของมัน อยากมีเงินมีทองนะแต่ไม่ทำอะไรกันเลย ฝัน ฝันมีเงินมีทอง อยากมีเงินฝันเอาๆ ศึกษามาก็ศึกษามาเพ้อเจ้อ มาฝันกันเอาเอง แล้วพอมาประพฤติปฏิบัติก็เกร็งกันไปหมดเลย ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น มันต้องเป็นอย่างนั้นถ้ามันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้ามันสุดวิสัยมันเป็นไปไม่ได้ มันก็คือความเป็นไปไม่ได้

ถ้าเป็นอาบัติ อาบัติก็ปลงเอา มันก็ปลงอาบัติได้ อาบัติก็ต้องปลงเอา ในสิ่งไม่ถูกต้องมันสุดวิสัย มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าจะให้สมความปรารถนาทั้งหมด มันเป็นไปได้หรอก โลกนี้ไม่มี อะไรจะสมความปรารถนาให้ตามความต้องการของเรามันไม่มี แล้วจะไปแบกอย่างไร นี่ไอ้อย่างนี้มันเป็นเรื่องของโลกๆ นะ

แล้วเรื่องการแก้ไข การแก้ไขเรื่องกิเลสมันต้องมีเทคนิคไง เทคนิค เห็นไหม ว้าเหว่เป็นอย่างไร วิเวกเป็นอย่างไร เข้าไปคลุกคลีกันเป็นอย่างไร ขณะที่คลุกคลีดูสิ อู้ย! นอนจมกันเลยนะจะได้เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นล่ะ อู้ย! นอนกอดกันกลมอยู่นั่นล่ะ คลุกคลีในหมู่ขณะจะได้เป็นพระอรหันต์กัน พอแยกออกไปนะเหงาแล้ว เริ่มทุกข์แล้ว มันมีขั้นตอนของมันทั้งนั้นนะ

มันเป็นการฝึกคน ในการฝึกคนเขามีการฝึกฝนของเขา เขามีเทคนิคการฝึกขึ้นมา ดูสิ อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านว่า เห็นไหม ท่านจะเทศนาว่าการจะเอากิเลส แต่มันก็มีคนมาขวาง พอคนมาขวางมันทำอะไรไม่ได้ๆ นี่ก็เหมือนกัน จะเข้ามาบริหารจัดการ อย่าเข้ามายุ่ง อย่าเข้ามายุ่ง เราดูของเราอยู่ เราดูของเราอยู่ เรารู้ของเราอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร เรารับผิดชอบอยู่ ถึงเวลาเราจัดการของเราเอง สิ่งที่เราจัดการของเราเอง ไอ้เรื่องความรู้สึก เรื่องหัวใจ เราจะจัดการเป็นขั้นเป็นตอนของเราขึ้นไป ในเมื่อมันสมควรเมื่อไร มันก็จะจัดการ ถ้ายังไม่สมควรก็ต้องรอเวลาบ่มเพาะให้มันควร ให้มันรู้สึก ให้มันควรแก่การงาน มันต้องทำอย่างนั้น

ไอ้นี่มันเอาแต่วัตถุเข้ามาเลย เอาแต่วิทยาศาสตร์เข้ามา ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนั้น ก็ปั้นพระอรหันต์ขึ้นมาสิ ตุ๊กตาทั้งนั้นน่ะ พระอรหันต์ขึ้นด้วยสมมุติ ด้วยความเป็นไป ด้วยความพอใจของตัว แต่ถ้าความจริงนะมันเกิดจากใจ มันเกิดจากความรู้สึกอันนั้น ดูสิดูอย่างของเก่าของแก่ เห็นไหม ของอย่างอื่นคนไม่ชอบเลย แต่ถ้าเล่นของเก่า ยิ่งเก่ายิ่งมีค่า ยิ่งอายุมากยิ่งมีราคา เป็นล้านๆ เป็นสิบๆ ล้านขึ้นไปยิ่งมีราคา นั่นเป็นของเก่าของแก่ที่เขาถนอมรักษาใช่ไหม

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรารักษาของเรา เราเข้าใจประสาของเรา มันมีคุณค่าขึ้นมาได้เหมือนกัน แต่ถ้ามันเป็นของเก่าที่เป็นของไม่มีคุณค่า ของไม่มีใครต้องการ เขาขายเป็นของเก่า ขายเป็นสินค้าไม่มีราคา แต่ถ้าคนตาถึงไปเอามามันมีราคาขึ้นมา เราต้องทำสภาวะแบบนั้น ความเป็นไปแบบนั้น ไม่ใช่อะไรก็จะมาจัดการๆ นะ ปวดหัวตายห่าเลย ยุ่งไปหมดเลย กิเลสเต็มหัวใจไม่ดูกัน กิเลสในหัวใจเราดูกิเลสของเราสิ กิเลสของใครกิเลสของมัน แล้วถ้าเป็นไปนะมาปรึกษาเรา มาบอกเรา ไม่ใช่ไปพูดกันข้างนอก แล้วไปจัดการกันข้างนอก แล้ววุ่นกันไปหมดเลย นี่มันเรื่องไม่เป็นเรื่อง

อาบัติก็รู้ว่าเป็นอาบัติ อนิตย ๒ ใครก็รู้จักอยู่ สิ่งที่เป็นอาบัติ เห็นไหม แต่อาบัติมันก็มีอนาบัติ บางอย่างทำก็เป็นอาบัติ บางอย่างทำแล้วเป็นอนาบัติ ไม่เป็นอาบัติ ไม่เป็นอาบัติเพราะมันไม่มีเจตนา มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เราจะควบคุมไม่ได้ มันเป็นไป นิ้วคนไม่เท่ากัน ความรู้สึกของคนไม่เท่ากัน โลกไม่เท่ากัน ความเป็นไปไม่เท่ากัน ถ้าจะเอาเรื่องโลกๆ อยู่ ภาวนาไปไม่รอด ภาวนาไปมันมีเทคนิคของมัน มีเทคนิคใช่ไหม

ดูสิ ทำไมเราต้องไปธุดงค์กัน ธุดงค์ไปหาใคร ทั้งๆ ที่ใจอยู่กับตัวเองนี่นะ แต่ไม่รู้จักใจของตัวเอง ไปทุกข์ไปยาก ไปตกห้วยหนองคลองบึง ปีนเขา เหนื่อยน่าดูเลยทุกข์ยากมากเลย นี่ไง เวลามีพระมาคุยให้ฟังมากเลย อยากเห็นทุกข์นะ แบกก้อนหินวิ่งขึ้นเขาลงเขา อยากเห็นทุกข์ โง่ตายห่า เพราะคิดประสาเรา เห็นไหม แบกก้อนหินนี่ อยากเห็นทุกข์ “ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ” แล้วทุกข์อยู่ไหนก็ไม่รู้ ก็แบกก้อนหินขึ้นลงขึ้นลง แล้วเวลากรรมกรแบกหาม เขาแบกหามเขาเห็นทุกข์ไหม เขาหาเงินของเขานะ

ถ้าเราแบกก้อนหินขึ้นเขาลงเขาจะเห็นทุกข์ กรรมกรแบกหามท่าเรือเขาแบกของ เขาเห็นทุกข์หมดล่ะ เขาไม่เห็นทุกข์เขายังได้เงินได้ทองเลย นี่มันเป็นความคิด มันเป็นความเพ้อเจ้อ ความทุกข์ทุกข์มันอยู่ที่ไหน มันต้องมีความสงบเข้ามาในใจ ทุกข์มันสังเวชไง เราสังเวชในชีวิตใช่ไหม นี่เขาบอกอยากเห็นทุกข์ อยากเห็นอริยสัจ นี่ความไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ไปทำงานข้างนอก ยิ่งทำข้างนอกยิ่งแบกหิน แบกหินสู้ไปทำความสะอาดวัดวาอารามดีกว่า ข้อวัตรปฏิบัตินี่ทำแล้วมีประโยชน์กว่า เพราะทำตรงนั้นมันรักษาของสงฆ์ใช่ไหม อยากได้บุญกุศล นี่ไปแบกก้อนหิน

มีพระมาพูดอย่างนี้จริงๆ หลายองค์ด้วย อยากเห็นทุกข์แบกก้อนหินวิ่งขึ้นเขาวิ่งลงเขา วิ่งขึ้นเขาวิ่งลงเขา นี่ไงความคิดโลกๆ เห็นไหม แล้วมันจะเห็นทุกข์ขึ้นมาได้อย่างไร มันเป็นทุกข์เพราะมันเป็นอาการของใจ มันเป็นเงา ดูสิ เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วรักษาที่เงาจะหายไหม มันต้องรักษาที่เราใช่ไหม จิตก็เหมือนกัน อาการของจิตความอยากเห็น ความอยาก ความรู้สึก มันเป็นอาการของใจแล้ว แล้วตัวใจมันเป็นตัวพลังงาน แล้วมันจะเห็นทุกข์ได้อย่างไร ในเมื่อเราไปทำอยู่ข้างนอก ถ้าทำอยู่ข้างใน ทำอยู่ข้างใน ก็ทำไม่ได้อีกนั้นล่ะ มันจะมีความอยากอีกล่ะ

มันเป็นความคิดของโลกๆ แล้วความคิดอย่างนี้มันเป็นความคิดในกรอบเห็นไหม ความคิดแบบเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่กิเลสบังเงา อ้างว่าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ความยึดมั่นถือมั่น ความมีกิเลสของตัวเต็มหัวใจเลย

แต่ถ้าเราทำของเราไปนะ มันจะเห็นตามความเป็นจริง ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์เราที่มีธรรมในหัวใจนะ เห็นต่างๆ เก็บไว้ในใจ ไม่พูดนะ พูดออกไปเขาไม่รู้หรอก ธรรมแท้ๆ นะ ลุกขึ้น เม้มปาก แล้วนั่งลง ความรู้สึกมันอยู่ข้างในไง พระอริยเจ้า เห็นไหม พระอริยเจ้านิ่งอยู่ นิ่งเพราะอะไร รู้ว่าการพูดออกไปมันจะมีโทษหรือมีประโยชน์ ถ้าพูดออกไปมีโทษจะพูดออกไปทำไม เห็นไหม พูดออกไปเขาจะเชื่อไหม

นี่ติเตียนพระเจ้าเป็นกรรมนะ แล้วพูดออกไปเอายาพิษไปให้เขา เอาสิ่งที่เป็นโทษไปให้เขา ให้เขาติเตียน ให้เขาเห็นในแง่ลบ แล้วให้เขาต่อต้านมา จะทำอย่างนั้นเหรอ ถึงว่าลุกขึ้น เม้มปาก แล้วนั่งลง ถ้าเขาสนใจ เขาพอใจ เขาจะศึกษา เอ้า มาคุยกัน ถ้าเขาไม่สนใจ เขาไม่ศึกษา ก็เรื่องของเขา มันเรื่องของเขา

ถ้าเขาศึกษา เขาสนใจนะ เขาเข้ามานะ ทำไมจะไม่อยากจะสอน ทำไมจะไม่อยากจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ทำไมไม่อยากจะจี้เข้ามาในหัวใจ มันจะเป็นหัวใจ เห็นไหม ดอกบัวเกิดจากโคลนตม แต่ดอกบัวเก็บสะสมไว้มากๆ เอามาหมักมันก็เป็นโคลนตมเหมือนกัน ดอกบัวเกิดจากโคลนตมแล้วไม่กลับไปสู่โคลนตมอีกเลย

ธรรมะเกิดมาจากสิ่งที่ว่ากิเลสๆ นี่แหละ ธรรมะเกิดจากที่นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนคนที่มีกิเลสนะ พระอรหันต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สอนหรอก แม้แต่พาดกระแสแล้วเป็นพระโสดาบันนี่วางใจได้แล้ว อย่างน้อยถึงที่สุดเขาต้องไปเป็นของเขา เห็นไหม

พระสารีบุตรไปเทศนาว่าการพราหมณ์ได้เป็นพระอนาคามี ไปบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ได้ไปเทศนาว่าการพราหมณ์คนหนึ่งได้เป็นพระอนาคามี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ทำไมเธอสอนต่ำทรามอย่างนั้น ทำไมไม่สอนให้ถึงที่สุดไปเลย ให้สิ้นกิเลสไปเลย แม้แต่พระอนาคามีพระพุทธเจ้ายังบอกว่าต่ำทรามเลย แล้วนี่เราทำกัน เห็นไหมเรื่องสิ่งจากภายใน ภายในสำคัญมาก

ถ้าภายในสำคัญมากต้องฟังนะ ฟังผู้มีประสบการณ์ ฟังสิ่งที่เขาทำอยู่ อันนี้คือเทคนิค เขากำลังทำงานของเขาอยู่แล้วตัวเองมาบอกว่ามันผิดอย่างนั้น มันควรจะทำอย่างนั้น เขาทำงานของเขาอยู่มันกำลังได้เสียของเขาอยู่ การได้เสียของเขาอยู่นี่มันรอการบ่มเพาะของกาลเวลา รอการบ่มเพาะ เห็นไหม

ดู เซนเขาสอนกัน เห็นไหม เวลาเขาเคาะกัน เขาเตือนสติกันนะ เขาเคาะกันเพื่อให้มีความรู้สึก นี่ก็เหมือนกัน เขาเคาะกัน เขาเตือนกันให้มีความรู้สึก ไอ้ตัวเองไม่รู้เหนือรู้ใต้เข้ามาเลยนะ จะบริหารจัดการ จะเอาเรื่องของโลกๆ เข้ามาไม่ได้ เรื่องของโลกๆ เป็นเรื่องข้างนอก เรื่องธรรมยังเป็นอย่างนี้เลย เรื่องธรรม เรื่องความเป็นไป เห็นไหม เรื่องธรรมยังต้องรอกาลเวลา ดูครูบาอาจารย์สิ เห็นไหม นี่รอ รอนะ เวลาเห็นลูกศิษย์ติดขึ้นมานี่ปล่อยให้ติดไปก่อน เพราะอะไร เพราะบอกไปนี่มันจะเกิดทิฏฐิมานะ ทิฏฐินะเกิดจากยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมมากขึ้นไปอีก เห็นไหม

รอกาลเวลาจนเขาเริ่มลังเลสงสัย เอ๊ะ! เอ๊ะ! เอ๊ะ! ทำไมมันเป็นอย่างนี้ล่ะ ทำไมมันน่าจะเป็นอย่างนั้น นั่นนะเห็นไหม เริ่มลังเลสงสัย นี่คือเริ่มเคาะ เริ่มบอก โอ๊ย! เทคนิคการสอนนะ เพราะผู้ปฏิบัติมันจะไปติดในเรื่องความรู้สึกของตัวนี่เยอะมาก ทุกขั้นตอนไป ปฏิบัติไปมันจะมีเล่ห์เหลี่ยม กิเลสมันจะบังเงา มันจะหลอกเรา กิเลสเรานี่หลอกเรา ไม่รู้หรอก

แล้วเวลาเขาปฏิบัติกันนะ นี่ทำสูตรนี้เลยแล้วเป็นพระอรหันต์ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าสูตรนี้เป็นพระอรหันต์นั่นเป็นห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ มันไม่ใช่ความเป็นไปของใจหรอก ความเป็นไปของใจมันมีกิเลสคอยหลอก คอยบังเงา คอยเล่ห์เหลี่ยม คอยหลอกลวง เห็นไหม แล้วเวลาปฏิบัติไปนี่ เวลาปฏิบัตินะกิเลสหยาบๆ เป็นกิเลส เวลาสงบเข้าไปเป็นอุปกิเลส ความโอภาส ความสว่างไสว ความว่าง อุปกิเลส ๑๖ นะ มันไปหลอกอยู่ข้างใน แล้วก็ไปยึดมันว่านี่เป็นธรรม นี่เป็นธรรม เห็นไหม แล้วก็ต้องรอนะ ถ้าไปบอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ได้อย่างไร ก็เป็นคนทำมา มันเกิดกับหัวใจ มันว่างอยู่ในหัวใจนี่ มันไม่ใช่ได้อย่างไร

นั่นอุปกิเลสอย่างละเอียด มันก็ไปหลอกอยู่ข้างใน แล้วหลอกข้างในก็ต้องรอเวลา รอเวลา เอ๊ะ! ถ้าเป็นธรรมมันต้องมีความสุขสิ เป็นธรรมทำไมอนิจจัง ทำไมเดี๋ยวออกมามันก็กระทบล่ะ นี่มันก็มีเริ่มสงสัย เริ่มมีสงสัย รอกาลเวลา รอการบ่มเพาะ

แล้วก็บอกมันไม่ใช่หรอก อันนั้นนะมันไม่ใช่ กิเลสอันละเอียดหลอกไว้ ถ้ามันไม่ใช่ ไม่ใช่เป็นอย่างไร ทำไมถึงใช่ล่ะ ใช่ก็ต้องย้อนกระแสกลับมาสิ สิ่งที่โอภาส สิ่งที่ต่างๆ มันเกิดจากใครล่ะ ใครเป็นคนเป็นโอภาสล่ะ ใครเป็นคนเห็นโอภาสล่ะ ใครเป็นคนไปรับรู้ความว่างล่ะ นี่ย้อนกลับเข้ามา ทำมันทำที่นี่ ถ้าทำที่นี่มันแก้เข้าไป มันจะละเอียดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

นี่สิ่งนี้เป็นคุณธรรม แล้วความคิดของเราทางโลกเป็นสูตรสำเร็จ เป็นวิทยาศาสตร์ พูดไปเป็นชั้นเดียว พูดไปด้วยข้อเท็จจริง แต่ทางธรรมนะ มรรค ๔ ผล ๔ มรรคหยาบ มรรคละเอียด มรรคลึกเข้าไปในหัวใจ ทวนกระแสเข้าไปในจิต มันลึกลับซับซ้อนมาก ไม่ปฏิบัติยังไม่รู้ อ่านมันก็ไม่ซึ้งใจหรอก คนปฏิบัติมันจะซึ้งใจมาก มันจะว่าข้างในเป็นขนาดไหน แล้วจะแก้ไขกันอย่างไร สิ่งที่เขาทำอยู่เป็นประโยชน์ของการกระทำอยู่ หาผู้รู้จริงแล้วหาคนสอนได้ยาก แล้วเขาทำกันอยู่ อย่าเข้ามายุ่ง เอวัง